วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2555

กลอน เตือน ใจ วัย รุ่น


อีกมุมที่ทุกท่านควรรู้และควรคำนึงถึง 
  ความอ้างว้างปลกคลุมทุกหลุมศพ
คือจุดจบคนอวดโตสุดโอหัง
เคยมีทั้งอำนาจมาดคนดัง
ถูกเขาฝังสงบนิ่งทั้งหญิงชาย

คนอยู่หลังยังระเริงเพลิงราคะ
รอธรรมะไม่เทิดทูนปล่อยสูญหาย
นำชีวิตเกลือกกลั้วมั่วอบาย
คิดกลับตัวก็สายปลายชีวิน

อีกทะนงหลงตนจนเป็นเหตุ
น่าสมเพชไม่ห้ามใจใฝ่ถวิล
ต้องทนทุกข์ทรมานเป็นอาจิณ
เมื่อสูญสิ้นวิปโยคโศกอาลัย

เพราะดุนยาแห่งนี้ที่พำนัก
เรามาพักเพียงครู่อยู่อาศัย
ไม่นานนักต้องพลัดพรากจากกันไป
ติดตัวไว้เพียงผลกรรมกระทำมา
 

เวลานี้ขอเพียงแค่อ้อมกอด
คอยปกป้องผองภัยยามอ่อนล้า
เวลานี้ขอเพียงรักและศรัทธา
คอยปกป้องชีวาพี่น้องเรา

เวลานี้ขอเพียงแค่กำลังใจ
คอยห่วงใยดูแลกันก่อนวันจาก
เวลานี้ขอเพียงน้ำจากหัวใจจงไหลพราก
คอยเคียงข้างแม้ลำบากไม่ทิ้งกัน

ต่อไม่ไหวไปไม่รอดแล้วท่านๆ
ข้าน้อยนั้นพร่ามต่อไปไม่ไหวแล้วเพราะว่าตัน
แต่อยากอ่านกลอนสอนใจจากท่านๆ
ช่วยแบ่งปันกันต่อไปจะได้ไหม

 loveit:

ปล.ขอโทษท่านอีโนด้วยนะคะหากว่าข้าน้อย
ทำให้กลอนดีๆของท่านหมดอรรถรสไปบ้าง  hehe

วัสลามุอะลัยกุมค่ะ

^_________^

คำคมสอนใจ

คำคมสอนใจ คำคมดีๆ คำคมเกี่ยวกับความรัก รวบรวมจาก คำคม facebook
คำคมสอนใจ คำคมดีๆ
ความดีของคนที่เลือกที่จะเรียนศาสนา ไม่ใช่สามัญ มันก็มีความดี
อีกทั้งเป็นเรื่องที่น่าอิจฉา สำหรับคนที่ได้รับมรดกจากนบี

''ไม่มีผู้ใดแสวงหาความรู้ เว้นแต่อัลลอฮ จะให้ง่ายดายแก่เขาเส้นทางสู่สวนสวรรค์''
รายงานโดย อบูดาวูด

คำคมสอนใจ คำคมดีๆ
 อย่างในหะดิษนี้ ก็เป็นการยกฐานะให้กับคนที่แสวงหาความรู้ศาสนา ตัวหะดิษบทนี้ถามผู้รู้มาแล้ว เค้าบอกว่า เฉพาะความรู้ศาสนา และอีกหลายๆหะดิษที่คนที่แสวงหาความรู้ศาสนาจะได้รับมัน

คนที่เรียนศาสนา แล้วทำงานศาสนา มีความดี

ส่วนคนที่ไม่เรียนศาสนา แต่ทำงานศาสนา ก็มีความดี

อีกอย่าง ถึงไม่เรียนศาสนาก็ยังสามารถแสวงหาความรู้ศาสนาได้

และงานศาสนาก็มีหลายรูปแบบมากๆ

ดังนั้น อย่างมองอะไรด้านเดียว
ท่าน อาลีย์ บิน อาบีย์ฏอลิบ กล่าวว่า :
วันเวลา มีอยู่แค่สองวัน
ถ้าวันเวลาทำให้เราสุขใจ
ก็จงชุโกร
แต่ถ้าวันเวลาทำให้เราทุกข์ใจ
ก็จงอดทน
คำแรกในธรรมนูญอิสลาม คือ :
อิกเราะ (จงอ่าน)
ไม่ใช่ จงฆ่า
ไม่ใช่ จงร่ำรวย
ไม่ใช่ จงปกครอง
เพราะอิสลามไม่ใช่ศาสนาแห่งการเข่นฆ่า ไม่ใช่ศาสนาแห่งทรัพย์สมบัติ และไม่ใช่ศาสนามหาอำนาจและการรุกราน
แต่อิสลามเป็นศาสนาแห่งความรู้ ความเข้าใจ และเป็นทางนำ
บทความดีๆโดย : Back to Allah ˚͜˚ راجعينلك يا رب
ถอดความและเรียงคำโดย : อูลุล อัลบ๊าบ
คำคมเกี่ยวกับความรัก
สตรี ก็เหมือน ผลแอปเปิ้ลที่อยู่บนต้นไม้
และผลที่ดีที่สุด นั่นคือ ผลที่อยู่บนกิ่งไม้ สูงจากพื้นดินมากที่สุด
แต่...ผู้ชายบางคน ไม่อยากได้กับสิ่งที่ดี ผลที่อยู่บนที่สูงๆ
เพราะพวกเขากลัวกับการตกจากที่สูง และกลัวกับความล้มเหลว
พวกเขาจึงหยิบผลที่เน่าเสีย ที่ตกอยู่บนพื้นดินเป็นเวลานาน
รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ดี แต่พวกเขาก็อยากจะได้มาง่ายๆ
จากจุดนี้ พวกเขาได้คิดว่า ผลแอปเปิ้ลที่อยู่สูง มันมีความประหลาดและผิดปกติ
แต่ที่จริงแล้ว ผลแอปเปิ้ลที่อยู่สูงนั้น ย่อมเป็นผลที่งดงามเป็นอย่างมาก
โอ้ มุสลีมะห์ทั้งหลาย จงอย่าได้ทำตัวเองให้มันตกต่ำ และอย่าให้ผู้คนเข้าถึงตัวโดยง่ายดาย

คำแรกในธรรมนูญอิสลาม คือ :
อิกเราะ (จงอ่าน)
ไม่ใช่ จงฆ่า
ไม่ใช่ จงร่ำรวย
ไม่ใช่ จงปกครอง
เพราะอิสลามไม่ใช่ศาสนาแห่งการเข่นฆ่า ไม่ใช่ศาสนาแห่งทรัพย์สมบัติ และไม่ใช่ศาสนามหาอำนาจและการรุกราน
แต่อิสลามเป็นศาสนาแห่งความรู้ ความเข้าใจ และเป็นทางนำ
ความดีที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังสิ่งที่ท่านรังเกียจ บางทีอาจมีมากมายยิ่งกว่าสิ่งที่ท่านชื่นชอบ เพราะท่านไม่อาจทราบผลที่จะตามมา ตั้งเท่าไหร่แล้วที่ความโปรดปรานซ่อนอยู่หลังความยากลำบาก และตั้งเท่าไหร่แล้วที่ความดีอันมากมายซ่อนอยู่หลังเสื้อผ้าอันมอซอ [ดร. อะอิฏ บินอับดุลลอฮฺ อัลก็อรฺนิ]
คำคมเกี่ยวกับความรัก
จะห้ามตัวเองมิให้ตีลูกได้อย่างไร?
โดย อุมมุ ฮันซอละฮฺ

บ่อยครั้งนักที่เราในฐานะพ่อแม่ มีความรู้สึกลำบากมากในการหักห้ามตนเองมิให้ตีลูกเมื่อเขากระทำในสิ่งที่ก่อความรบกวนแก่เรา ทั้งๆที่ เมื่อเราได้คิดทบทวนกลับไป เราก็จะพบว่า การตีเขาครั้งนั้นมิได้สร้างประโยชน์อะไรที่ยิ่งใหญ่ เมื่อเทียบกับความเสียใจจากสิ่งที่เราได้กระทำลงไปเลย เราในฐานะพ่อแม่จึงจำเป็นต้องรู้วิธีในการยับยั้งตนเองมิให้ตีลูกเมื่อเขากระทำความผิด
ต่อไปนี้คือเคล็บลับบางประการที่จะช่วยให้เราไม่ตีลูก
1. พยายามขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮจากการล่อลวงของชัยฏอน
2. ลองนึกให้คุณเป็นลูกที่ยังเล็กอยู่ แล้วแม่ของคุณก็ได้อดทนและอ่อนโยนต่อความผิดพลาดและความซุกซนของคุณ
3. พูดกับตัวเองสิว่า “คุณกับการตีลูกคครั้งนี้เป็นอย่างไร? ตีเพราะต้องการแก้แค้นลูก(ที่ทำให้ท่านลำบากกายและใจ) หรือเพื่ออบรมเขา?” หากคุณต้องการเพียงแค่ระบายอารมณ์โกรธของตนเอง คุณไม่มีสิทธิ์ในสิ่งนี้โดยเด็ดขาด แต่หากคุณต้องการอบรมนิสัยและมารยาทแก่เขา มันก็ยังมีวิธีอื่นที่ไม่ใช่การตีลูกมิใช่หรือ?
4. จงใคร่ครวญการตีลูกของท่านก่อนหน้านี้เถิด และมันได้ทำให้คุณรู้สึกเสียใจอย่างไรบ้าง เมื่อสิ่งที่คุณคาดหวังไว้ มันก็มิได้เกิดขึ้นจริงตามที่คุณคาดหวัง
5. พูดคุยกับสามีหรือภรรยาของคุณ เพื่อให้เขาช่วยยับยั้งคุณจากการตีลูก
6. จงจำไว้ว่า ลูกของคุณยังอ่อนแอ และยังไม่สามารถดูแลตัวเองได้
บทความสั้นๆว่าด้วย "การเลี้ยงลูก" รวบรวมมาจากบทความต่างๆ แล้วนำมาเรียบเรียงอีกที...หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์แก่พ่อแม่และพี่น้องทุกคน...
By: ที่สุดท้าย ของ หัวใจ
อบเวลาที่คุณยิ้มให้
เพราะรอยยิ้มที่คุณมี มันบอกถึงความจริงจัย

ชอบเวลาที่คุณจำได้ในเรื่องของฉัน
เพราะทำให้รู้ว่าฉันมีความสำคัญสำหรับคุณ

ชอบเวลาที่คุณจับมือกัน
เพราะทำให้ฉันรู้ว่าคุณพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างฉัน เเละเดินไป พร้อมกับฉัน

ชอบเวลาวันที่มีคุณอยู่ข้างกาย
เพราะคุณคือคนที่อัลลอฮเลือกให้อยู่คู่กับฉัน

ชอบเวลาที่คุณมองตา
เพราะในตาคุณมีฉันอยู่ ทุกครั้งที่มองมา

ชอบเวลาที่คุณทำอะไรดีๆมาให้ฉัน
เพราะในความเป็นจริงคุณก็ทำอะไรดีๆ ให้ฉันเสมอ

เพราะคุณไม่เคยทอดทิ้งฉัน เเละ อยู่เคียงข้างฉันเสมอ
--
คำคมเกี่ยวกับความรัก
จะนิกาฮ ได้อย่างไร ในเมื่อ มะฮัร ยังไม่พอ......................

หากเค้ารักลูก เค้าต้องทำได้
ไหนค่าเลี้ยงดู ค่าส่งเสียเรียน
ค่าเสื้อผ้า ค่าครีม ค่านั้น โน้น นี่
เเถมค่าปริญญาอิก ตั้งสูงๆไว้ จะได้คืนกำไร!!!
อิกอย่าง เราก็รวย ลูกก็สวย เรียกเเพง จะได้ เป็นเกียรติ เเก่ครอบครัว

"มะฮัร ที่ตั้งไว้ ตกลง จะให้เกียรติลุก หรือจะกดขี่ลูกกัน??"

เเม่กำลังขัด ในสิ่งที่อัลลอฮอนุมัต
รอซูล กล่าวว่า"สตรี ที่มีมงคลที่สุดนั้น คือ สตรีที่มีค่าใช้จ่าย (มะฮัร) น้อยที่สุด".... อะหฺมัด และ ฮากิม

เเม่จ้า ทำไม เเม่ตั้งมะฮัรสูง เหลือเกิน
เเม่อย่าเอา ค่านิยมของคนสมัยนี้ มาเป็นกำเเพง ในการทำในสิ่งที่ถูกต้อง
เเม่อย่าได้ทำให้ การนิกาฮเกิดขึ้นยากมากขึ้น เพราะจะทำให้ซินาเกิดขึ้นง่าย
ลูกไม่ต้องการ ค่ามาฮัร ที่เเพง เพราะทำให้ลูก ไม่มีเกียรติ ณ อัลลอฮ
เอาพอประมาณ เพราะหากเเพงเกินไป ลูกอาจจะสูญเสีย ผู้เป็นผู้นำที่ดีของลูกได้
อย่าทำให้ หัวใจ สายตา ของลูก ได้ทำซินา เลยน่ะจ้า
คำคมเกี่ยวกับความรัก
----------------------------------------------------------------------
"มะฮัร ที่ตั้งไว้ ตกลง จะให้เกียรติลุก หรือจะกดขี่ลูกกัน??"

เเค่ใบปริญญาใบเดียว มันไม่ได้หมายความว่า
ต้องตั้งค่ามะฮัร สูง จนเกินความสามารถฝ่ายชาย

มะฮัรเเพง ไม่ได้เเปลว่า จะดีไปทุกเรื่อง
มะฮัรเเพง ไม่ได้เเปลว่า จะเป็นผู้ศรัทธา

มะฮัรถุก ไม่ได้เเปลว่า ไม่มีเกียรติ
มะฮัรถูก ไม่ได้เเปลว่า ไม่ศรัทธา

“รักแท้แพ้มะฮัร” จะไม่มี ระหว่างฉัน
"รักเเท้เเพ้ศรัทธา" รักของฉัน ต้องมีเเค่ศรัทธา
--------------------------------------------------------
((((((((((((((((มะฮัรสูง นิกาฮยาก ซินาง่าย)))))))))))))))))))))


คำคมเกี่ยวกับความรัก

ให้ถึง พี่น้องที่กำลัง จะนิกาฮ
เเต่ติด ตรงที่ มะฮัรเเพง เเพง เเพง มากๆ



รูปนี้ เจ้าสาว รอเจ้าบ่าว หามะฮัร
เเต่นานมาก ดอกไม้เริ่มเหี่ยว

-- คำคมเกี่ยวกับความรัก
"จงนึกถึงความตายให้มากมายกว่าการนึกว่าใครเป็นเนื้อคู่ เพราะไม่แน่นอนเลยว่า ชุดที่จะได้ใส่สีขาว คือชุดเจ้าสาว หรือ ผ้าห่อศพ"

--คำคมเกี่ยวกับความรัก
...มากกว่าการฝันหวานเรื่องเนื้อคู่ คือการใฝ่ฝันเรื่องการมีลูกๆที่ซอและ/ซอลิฮาต...

-- คำคมสอนใจ คำคมดีๆ
การใช้ปากที่เป็นประโยชน์มากที่สุด คือ ยิ้ม และ เงียบ

ยิ้ม..... เพื่อการแก้ทุกๆ ปัญหา
เงียบ..... ย่อมชนะในทุกๆ ปัญหา
-- คำคมสอนใจ คำคมดีๆ

ก่อนนอนนึกถึงอัลลอฮ ตื่นนอนนึกถึงอัลลอฮ หิวก็นึกถึงอัลลอฮ แล้วทำไมเวลาทำบาปไม่นึกถึงอัลลอฮละ แปลกไหม

-- คำคมสอนใจ คำคมดีๆ

เดียเดีย กองเป็ง wrote:จงรักภรรยาของคุณเถิด เมื่อเธอบอกให้คุณไปละหมาดเพราะเธอนั้นอยากต้องการอยู่ร่วมกับคุณในสวรรค์ของพระองค์.............Love her when she pushes you to pray. She only wants to bewith you in Jannah!
-- คำคมสอนใจ คำคมดีๆ

"อย่าให้วันหนึ่งผ่านไป,, โดยไม่ได้พูดคุยกับผู้สร้าง,, เพราะวันหนึ่งที่ผ่านไปนั้น.. เธอใช้ออกซิเจนของ"อัรเราะห์มาน.." ในการหายใจ..."

-- คำคมเกี่ยวกับความรัก
รักแรกคือ ~> อัลลอฮ
รักซุนนะฮ ~> รองลงมา
ดุนยาคือ ~> ทางผ่าน
อัลกุรอานคือ ~> ทางนำ
 

วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

นักวิทยาศาสตร์ อิสลาม


นักวิทยาศาสตร์ อิสลาม
ฮากิม อิบนุ ซีนา
อิบนุ ซีนา หรือที่ชาวยุโรปเรียกันว่า เอวิเซ็นนา(Avicenna) เป็นนักวิทยาศาสตร์มุสลิมคนหนึ่ง ที่เกิดในปี ค.ศ.980 ในดินแดนทางตะวันอกเฉียงเหนือของอาณาจักรอับบาสิด (อุสเบกิสถานปัจจุบัน) บิดาของเขาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดท้องถิ่นแห่งหนึ่งของเปอร์เซีย และเป็นนักวิชาการมีเกียรติ อิบนุซีนาจึงพูดภาษาเปอร์เซียเช่นเดียวกับผู้มีการศึกษาในส่วนอื่นๆ ของโลก เขาเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดมาก สามารถจดจำอัล-กุรอานได้ทั้งเล่มเมื่ออายุได้เพียงเจ็ดขวบ ทั้งที่ภาษาอาหรับไม่ใช่ภาษาของเขา ในขณะที่ยังเป็นเด็กอยู่นั้น เขาได้เรียนรู้ระบบการนับเลขแบบอินเดียจากครูที่เป็นนักเดินทาง เมื่ออิบนุซีนาอายุสิบแปดปี เขาประสบความสำเร็จในการเป็นหมอที่รักษาผู้ป่วยให้หายได้จำนวนมาก
อิบนุซีนากลายเป็นหมอที่มีชื่อเสียงมากจนกระทั่งสุลต่านนูฮฺ อิบนฺ มันซูรฺ แห่งบุคอรอได้มาหาเขาเพื่อให้ช่วยรักษาอาหารป่วย เมื่ออิบนุซีนาสามารถรักษาอาการป่วยของสุลต่านผู้นั้นได้ สุลต่านจึงให้เขาทำงานเป็นแพทย์ประจำพระองค์ ซึ่งขณะนั้นอิบนุซีนามีอายุแค่ 18 ปีเท่านั้น เมื่อได้เป็นแพทย์ประจำพระองค์ของสุลต่านแล้ว อิบนุซีนาก็ได้อ่านหนังสือหายากหลายเล่มจากในห้องสมุดของสุลต่าน
อิบนุซีนามีแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ หลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น เมื่ออายุได้ยี่สิบปี อิบนุซีนาเป็นบุคคลแรกที่ "แรงกระตุ้นเป็นสัดส่วนของอัตราความเร็ว" นี่คือสมการพื้นฐานที่อธิบายแรงผลักดันในทุกวันนี้ เขายังอ้างเหตุผลด้วยว่า วัตถุที่กำลังเคลื่อนที่ในสุญญากาศนั้นยังคงเคลื่อนที่ไปโดยไม่ชะลอความเร็วลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องอีกเช่นกัน อิบนุซีนายังได้กล่าวไว้อีกว่า นักวิทยาศาสนาจะไม่มีทางประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนโลหะอย่างตะกั่ว หรือทองแดง ให้กลายเป็นทองได้ ถึงแม้ว่านักวิทยาศาสตร์หลายคนจะพยายามทดลอง
ตำราทางการแพทย์ของอิบนุซีนาตั้งแต่ ค.ศ. 1000 เป็นต้นมา
อิบนุซีนายังได้เขียนตำราทางการแพทย์เป็นภาษาอาหรับไว้ด้วยเช่นกัน ซึ่งแพทย์ได้ใช้กันทั่วอาณาจักรอับบาสิด และเมื่อตำรานี้ถูกแปลเป็นภาษาละติน ก็ได้ถูกนำมาใช้ไปทั่วทั้งยุโรปเช่นกัน ตลอดช่วงสมัยของยุคกลาง อิบนุซีนายังอาจจะเป็นบุคคลแรกที่ได้รู้ว่า คนเราสามารถติดเชื้อโรคต่างๆ จากคนด้วยกัน เช่นโรคหัด ไข้ทรพิษ หรือวัณโรค ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีใครรู้จักเชื้อโรคเลย เพราะยังไม่มีกล้องจุลทรรศน์
เมื่อสุลต่านสิ้นพระชนม์ลง รัชทายาทชื่อ อะลี อิบนฺ ชามส์ อัล-เดาลา ได้ขอให้อิบนุซีนาดำรงตำแหน่งเป็นแพทย์ประจำพระองค์ต่อไป แต่เขาตกลงที่จะเข้าร่วมกับกองกำลังของโอรสของสุลต่านอีกคนหนึ่ง คือ อะลา อัล-เดาลา และจึงต้องหลบซ่อนตัว ในระหว่างช่วงเวลานี้เอง เขาได้เขียนตำราเกี่ยวกับหลักปราชญาที่สำคัญเล่มหนึ่ง คือ "กิตาบุล-ชีฟา" (หนังสือเรื่องการเยียวยา) ครอบคลุมในเรื่องที่เกี่ยวกับวิชาตรรกศาสตร์และคณิตศาสตร์ ไปจนถึงเรื่องกายภาพหรือฟิสิกส์และชีวิตหลังความตาย ในขณะที่กำลังเขียนเรื่องเกี่ยวกับวิชาตรรกศาสตร์นั้น อิบนุซีนาถูกจับกุมไปคุมขัง แต่เขาหนีรอดไปได้และปลอมตัวเป็นซูฟีไปยังอิสฟาฮานเพื่อสมทบกับอะลา อัล-เดาลา
ในระหว่างนั้นเขาได้เขียนหนังสืออีกหลายเล่มเช่น กิตาบุล นาญาต, อัล-มันติก และ อัล-อิสฮารอต วะ อิตันบิฮาต เป็นหนังสือเกี่ยวศาสนาและหลักตรรกศาสตร์ นอกจากนี้งานเขียนของเขายังรวมไปถึงหนังสือเกี่ยวกับเรื่องดาราศาสตร์, การแพทย์, ภาษาสาสตร์ และสัตวศาสตร์ด้วย อิบนุซีนายังเป็นนักกวีที่เขียนกวีได้อย่างไพเราะเช่นหนังสือ ฮัยย์ อิบนฺ ยักซัน  อิบนุซีนายังทำงานเกี่ยวกับปรัชญาและการแพทย์ตลอดจนเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองเรื่อยมาจนกระทั่งเขาเสียชีวิต

ลิงค์อื่นๆ :
  อาจารย์สมชัย นักดาราศาสตร์มุสลิมไทยได้กลับสู่ความเมตตาของอัลลอฮ์แล้ว
  จุฬาราชมนตรี ตำแหน่งผู้นำมุสลิมของไทย
  โอมาร์ คัยยัม
  อะบูอับดุลลอฮฺ อัล-บัตตานี
  นัสรุดดีน อัล-ตูซี
  อบุลกอซิม อัซ-ซะฮฺรอวี
  ญะลาลุดดีน รูมี
  อับบาส อิบนฺ ฟิรฺนาส
  อิมามญะอ์ฟัร ซอดิก (อ.) ปรมาจารย์แห่งวิทยาศาสตร์
  อิบนู บัตตูตา

รุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุูปถ่าย








การเจ็บป่วย และการตาย


การเจ็บป่วย
และการตาย
เดี๋ยวนี้ คนไทยมีสุขภาพดีกว่าแต่ก่อนมาก อายุก็ยืนยาว
ขึ้น เมื่อ 40-50 ปีก่อน พอเกิดมา คาดเฉลี่ยว่าคนไทยจะ
มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกเฉลี่ยเพียง 50 ปีเท่านั้น ปัจจุบันเพิ่ม
สูงขึ้นถึง 73 ปี เราหวังว่าคนไทยจะยิ่งมีอายุยืนขึ้นไปอีก
ในอีก 20-30 ปีข้างหน้า คนไทยน่าจะมีอายุคาดเฉลี่ยเมื่อ
แรกเกิดถึง 80 ปี ไม่น้อยกว่าชาวญี่ปุ่นในปัจจุบันมากนัก
คนไทยตายราว 4 แสนกว่าคนในแต่ละปี
แต่จ�านวนตายนี้ก�าลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต อีกราว
10-20 ปีข้างหน้า อาจจะมีคนไทยตายปีละกว่า
6 แสนคน (หรือที่อัตราตายประมาณ 10 คน ต่อประชากร
1,000 คน) ซึ่งจะเป็นจ�านวนพอๆ กับการเกิด ท�าให้
ประชากรไทยไม่เพิ่มขึ้น หรืออาจถึงขั้นลดจ�านวนลง
อายุเฉลี่ยของประชากรไทยที่สูงขึ้นมากในช่วง
เวลา 3-4 ทศวรรษที่ผ่านมานี้ เป็นผลอย่างมากจากการ
ลดลงของการตายในวัยทารกและเด็ก เมื่อ 40 ปีก่อน
เด็กเกิดมา 1,000 คน จะตายไปเสียตั้งแต่อายุยังไม่ครบ
ขวบถึง 80 คน อัตราตายทารกได้ลดลงเหลือเพียง
13 รายต่อการเกิดมีชีพ 1,000 ราย ในปัจจุบัน
การอนามัยแม่และเด็ก สุขาภิบาล การสร้างภูมิคุ้มกัน
โรค เช่น การปลูกฝี ฉีดวัคซีน ช่วยท�าให้ทารกและเด็ก
มีอัตรารอดชีพสูงขึ้นอย่างมาก อัตราตายในวัยอื่นๆ ของ
ประชากรไทยก็ลดลงอย่างมากเช่นกัน การพัฒนาประเทศ
ด้านต่างๆ ทั้งด้านการแพทย์ สาธารณสุข สุขาภิบาล
เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมท�าให้อัตราตายของ
ประชากรไทยลดต�่าลงอย่างมากในทุกกลุ่มอายุ
สาเหตุการตายของประชากรไทยได้เปลี่ยนไป
จากเดิมมาก ในอดีต คนไทยตายมากเพราะโรคติดเชื้อ
ที่แพร่ระบาดไปได้ทั้งทางน�้า อากาศ หรือโดยพาหะ
น�าโรคชนิดต่างๆ ปัจจุบันการตายของประชากรไทย
ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการกินอยู่และ
การใช้ชีวิตของตนเอง สาเหตุการตายที่ส�าคัญในปัจจุบัน
ได้แก่ โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจและหลอดเลือด มะเร็ง
เอดส์ โรคหัวใจ ความดันเลือด รวมทั้งอุบัติเหตุบนถนน
โรคสมัยใหม่หลายอย่างสามารถป้องกันหรือหลีกเลี่ยง
ได้ด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรมส่วนบุคคล เช่น พฤติกรรม
การกินอาหาร การออกก�าลังกาย การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา
การขับขี่ยวดยานพาหนะ
เมื่อประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ คือ
มีผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปเกินร้อยละ 10 และนับวันประชากร
ไทยจะยิ่งมีอายุสูงขึ้น เราก็พอมองเห็นภาพแนวโน้ม
ของภาวะความเจ็บป่วยของประชากรที่น่าจะเกิดขึ้นใน
อนาคต ผู้สูงอายุย่อมมีโอกาสเจ็บป่วยมากกว่าคนอายุ
น้อย ยิ่งอายุมากก็ยิ่งมีความเสี่ยงที่จะเจ็บป่วยมากขึ้น
โรคของผู้สูงอายุมักจะเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องการการดูแล
ระยะยาว เช่น โรคเบาหวาน โรคความจ�าเสื่อม อัมพฤกษ์
อัมพาต โรคเกี่ยวกับกระดูกและฟัน โรคเหล่านี้ต้องการ
การรักษาต่อเนื่อง โรคของผู้สูงอายุเหล่านี้จะเพิ่มภาระ
ในการดูแลรักษาให้กับสังคมไทยในอนาคต
ศาสตราจารย์ ดร.ปราโมทย์ ประสาทกุล และ รองศาสตราจารย์ ดร.ปัทมา ว่าพัฒนวงศ์
สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
“จ�านวนการตายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เพราะเรามีโรคภัยไข้เจ็บมากขึ้น
หากเป็นเพราะประชากรไทยมีอายุสูงขึ้น ประมาณว่าร้อยละ 60
ของคนที่ตายทั้งหมดในแต่ละปีเป็นผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป”
55-03-004 Th_001-120_new17_Y.indd 14 17/3/2012 13:580

แนวโนมการเปลี่ยนแปลงอัตราเกิด อัตราตายของประเทศไทย พ.ศ. 2500-2593
จำนวนการตายของประเทศไทย พ.ศ. 2511-2553
ประมาณจำนวนผูสูงอายุ จำแนกตามภาวะพึ่งพิงในกิจวัตรประจำวันและตามเพศ พ.ศ. 2553-2583
รอยละจำนวนปที่สูญเสียไปจากการตายกอนวัยอันควร (Year of Life Lost: YLL)

การ เรียนพิเศษ


การ “เรียนหนัก” และ “กวดวิชา” ช่วยพัฒนาประชากรจริงหรือ?

JANUARY 18, 2012    
นักเรียนไทยรุ่นใหม่แทบทุกคนเคยเรียนพิเศษเพื่อให้สอบได้คะแนนดี สอบเข้าคณะที่ต้องการได้ ฯลฯ แต่หากศักยภาพในการพัฒนาประเทศขึ้นอยู่กับคุณภาพประชากร หากคุณภาพประชากรขึ้นอยู่กับคุณภาพการศึกษา และหากคุณภาพการศึกษาขึ้นอยู่กับความสามารถของนักเรียนในการเข้าใจสาระที่เรียนอย่างถ่องแท้ เราอาจจะต้องตั้งคำถามว่าการเรียนหนักและการกวดวิชาสามารถช่วยพัฒนาคุณภาพประชากรได้จริงหรือ?
ดังที่เคยนำเสนอไปแล้ว[1] ว่าทางหนึ่งที่จะวัดความเข้าใจในสาระวิชาของนักเรียนโดยใช้มาตรฐานเดียวกันในระดับนานาชาติ คือ การทดสอบ PISA[2] โดยผลการศึกษาของ PISA ฉบับล่าสุดที่ทำในปี 2009 นอกจากจะรายงานผลการทดสอบแล้ว ยังมีผลการศึกษาที่น่าสนใจสองประการซึ่งเราแสดงไว้เป็นกราฟในภาพ คือ
1. กราฟซ้ายแสดงคะแนน PISA เป็นฟังก์ชันของจำนวนชั่วโมงที่นักเรียนแต่ละประเทศเรียนวิทยาศาสตร์ จะเห็นว่ากราฟนั้นค่อนข้างเรียบและมีความสัมพันธ์ไปในทางลบเล็กน้อย นั่นคือการใช้เวลาเรียนมากขึ้นไม่ได้ส่งผลให้เข้าใจวิทยาศาสตร์มากขึ้น ซ้ำร้ายการใช้เวลาเรียนมากเกินไปยังส่งผลในเชิงลบต่อความเข้าใจเสียด้วย (หมายเหตุ: ดูกราฟต้นฉบับใน [2] หน้า 386)
ผลการศึกษานี้ขัดกับสามัญสำนึกว่าหาก “เรียนมาก” ก็น่าจะทำคะแนนได้ดีกว่า ซึ่งไม่เป็นความจริง
2. กราฟขวาแสดงคะแนน PISA เป็นฟังก์ชันของเปอร์เซนต์ของชั่วโมงเรียนวิทยาศาสตร์ที่เรียนในโรงเรียน (ส่วนที่เหลือคือการเรียนกวดวิชา) ประเทศที่เปอร์เซนต์น้อยแปลว่าเรียนในห้องเรียนน้อยและเรียนพิเศษมาก เช่น เม็กซิโก ชิลี บราซิล ส่วนประเทศที่เปอร์เซนต์สูงแปลว่าใช้เวลาเรียนในห้องเรียนมากและเรียนพิเศษเป็นสัดส่วนน้อยกว่า เช่น ฟินแลนด์ นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น
กราฟนี้แสดงว่ายิ่งให้ความสำคัญกับเวลาเรียนในห้องเรียนมากก็จะยิ่งเข้าใจสาระที่เรียนได้มาก และหากเรียนกวดวิชากันเป็นสัดส่วนมากจะกลับมีความเข้าใจน้อยลง ทั้งนี้ ควรเป็นที่สังเกตว่าข้อมูลนี้ไม่ได้แสดงว่าความเข้าใจในสาระวิชานั้นถูกลดด้อยลงเพราะคุณภาพการเรียนในห้องหรือการกวดวิชา เพียงแต่บอกว่าประเทศที่นักเรียนใช้เวลาไปกับการเรียนกวดวิชาเป็นสัดส่วนน้อยกว่าจะมีความเข้าใจในสาระวิชามากกว่า ซึ่งอาจจะเป็นไปได้เช่นกันว่าว่าประเทศที่มีการเรียนพิเศษน้อยและมีระดับความเข้าใจในสาระวิชาสูงเป็นผลของการศึกษาภาคบังคับที่มีประสิทธิภาพมาก (หมายเหตุ: ดูกราฟต้นฉบับใน [2] หน้า 386 และอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่องผลของการกวดวิชาได้ใน Box D1.2. “Does investing in after-school classes pay off?”; ทีมงานไม่มีข้อมูลเปอร์เซนต์ของเวลาเรียนวิทยาศาสตร์ในห้องเรียนสำหรับประเทศไทย จึงแสดงระยะประมาณที่ 45-60 เปอร์เซนต์ไว้ในกราฟ)
ผลวิจัยนี้ชี้ว่าแม้การเรียนพิเศษหรือกวดวิชาอาจจะทำให้สอบเก่งขึ้น เข้าคณะที่ต้องการได้ ฯลฯ แต่กลับไม่ได้ทำให้เกิดความเข้าใจในสาระวิชาอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นในการพัฒนาประเทศ
เราอาจกล่าวได้เช่นกันว่าคุณภาพการเรียนในห้องเรียนของแต่ละประเทศ ย่อมส่งผลต่อสัดส่วนการเรียนในห้อง/เรียนพิเศษ แต่ถึงแม้ประเทศที่ (เชื่อกันว่า) การเรียนในห้องมีคุณภาพสูง ผลการศึกษาในข้อ 1 ก็แสดงให้เห็นอยู่ดีว่ายิ่งเรียนมาก ยิ่งทำคะแนนสอบได้น้อย แอดมินย้ำว่าผลการศึกษาทั้งสองไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยเพียงแห่งเดียว แต่เป็นธรรมชาติของระบบการศึกษาทั่วโลก ซึ่งประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น ไม่ได้พิเศษแตกต่างแต่อย่างไร
แน่นอนว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพประชากรเป็นปัญหาที่สำคัญและต้องการการแก้ไขจากทุกฝ่าย เราคงไม่สามารถกล่าวได้ว่านี่คือความผิดของ ครู นักเรียน เจ้าของโรงเรียนกวดวิชา ติวเตอร์ รัฐบาล ระบบการศึกษา หรือใครคนใดคนหนึ่ง
หากเราทุกคนช่วยกัน “ตั้งคำถาม” ว่ามีอะไรผิดบ้าง ช่วยกัน “ตอบคำถาม” ว่าเราจะต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง และช่วยกัน “สอดส่อง” ว่ามีอะไรบ้างที่ตัวเราสามารถทำได้อันจะนำไปสู่การแก้ปัญหาในภาพรวม นี่อาจเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยลดการสูญเสียศักยภาพของประชากรไทยไปโดยใช่เหตุได้

อ้างอิงข้อมูล:

[1] รายละเอียดในโพสของ ‘ประเทศไทยอยู่ตรงไหน’ วันจันทร์ที่ 16 ม.ค. 2555 http://www.whereisthailand.info/2012/01/pisa-score-2009/
[2] http://www.oecd.org/dataoecd/61/29/48631122.pdf