นักวิทยาศาสตร์ อิสลาม
| ||
| ||
ลิงค์อื่นๆ : | ||
วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
นักวิทยาศาสตร์ อิสลาม
การเจ็บป่วย และการตาย
การเจ็บป่วย
และการตาย
เดี๋ยวนี้ คนไทยมีสุขภาพดีกว่าแต่ก่อนมาก อายุก็ยืนยาว
ขึ้น เมื่อ 40-50 ปีก่อน พอเกิดมา คาดเฉลี่ยว่าคนไทยจะ
มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกเฉลี่ยเพียง 50 ปีเท่านั้น ปัจจุบันเพิ่ม
สูงขึ้นถึง 73 ปี เราหวังว่าคนไทยจะยิ่งมีอายุยืนขึ้นไปอีก
ในอีก 20-30 ปีข้างหน้า คนไทยน่าจะมีอายุคาดเฉลี่ยเมื่อ
แรกเกิดถึง 80 ปี ไม่น้อยกว่าชาวญี่ปุ่นในปัจจุบันมากนัก
คนไทยตายราว 4 แสนกว่าคนในแต่ละปี
แต่จ�านวนตายนี้ก�าลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต อีกราว
10-20 ปีข้างหน้า อาจจะมีคนไทยตายปีละกว่า
6 แสนคน (หรือที่อัตราตายประมาณ 10 คน ต่อประชากร
1,000 คน) ซึ่งจะเป็นจ�านวนพอๆ กับการเกิด ท�าให้
ประชากรไทยไม่เพิ่มขึ้น หรืออาจถึงขั้นลดจ�านวนลง
อายุเฉลี่ยของประชากรไทยที่สูงขึ้นมากในช่วง
เวลา 3-4 ทศวรรษที่ผ่านมานี้ เป็นผลอย่างมากจากการ
ลดลงของการตายในวัยทารกและเด็ก เมื่อ 40 ปีก่อน
เด็กเกิดมา 1,000 คน จะตายไปเสียตั้งแต่อายุยังไม่ครบ
ขวบถึง 80 คน อัตราตายทารกได้ลดลงเหลือเพียง
13 รายต่อการเกิดมีชีพ 1,000 ราย ในปัจจุบัน
การอนามัยแม่และเด็ก สุขาภิบาล การสร้างภูมิคุ้มกัน
โรค เช่น การปลูกฝี ฉีดวัคซีน ช่วยท�าให้ทารกและเด็ก
มีอัตรารอดชีพสูงขึ้นอย่างมาก อัตราตายในวัยอื่นๆ ของ
ประชากรไทยก็ลดลงอย่างมากเช่นกัน การพัฒนาประเทศ
ด้านต่างๆ ทั้งด้านการแพทย์ สาธารณสุข สุขาภิบาล
เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมท�าให้อัตราตายของ
ประชากรไทยลดต�่าลงอย่างมากในทุกกลุ่มอายุ
สาเหตุการตายของประชากรไทยได้เปลี่ยนไป
จากเดิมมาก ในอดีต คนไทยตายมากเพราะโรคติดเชื้อ
ที่แพร่ระบาดไปได้ทั้งทางน�้า อากาศ หรือโดยพาหะ
น�าโรคชนิดต่างๆ ปัจจุบันการตายของประชากรไทย
ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการกินอยู่และ
การใช้ชีวิตของตนเอง สาเหตุการตายที่ส�าคัญในปัจจุบัน
ได้แก่ โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจและหลอดเลือด มะเร็ง
เอดส์ โรคหัวใจ ความดันเลือด รวมทั้งอุบัติเหตุบนถนน
โรคสมัยใหม่หลายอย่างสามารถป้องกันหรือหลีกเลี่ยง
ได้ด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรมส่วนบุคคล เช่น พฤติกรรม
การกินอาหาร การออกก�าลังกาย การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา
การขับขี่ยวดยานพาหนะ
เมื่อประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ คือ
มีผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปเกินร้อยละ 10 และนับวันประชากร
ไทยจะยิ่งมีอายุสูงขึ้น เราก็พอมองเห็นภาพแนวโน้ม
ของภาวะความเจ็บป่วยของประชากรที่น่าจะเกิดขึ้นใน
อนาคต ผู้สูงอายุย่อมมีโอกาสเจ็บป่วยมากกว่าคนอายุ
น้อย ยิ่งอายุมากก็ยิ่งมีความเสี่ยงที่จะเจ็บป่วยมากขึ้น
โรคของผู้สูงอายุมักจะเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องการการดูแล
ระยะยาว เช่น โรคเบาหวาน โรคความจ�าเสื่อม อัมพฤกษ์
อัมพาต โรคเกี่ยวกับกระดูกและฟัน โรคเหล่านี้ต้องการ
การรักษาต่อเนื่อง โรคของผู้สูงอายุเหล่านี้จะเพิ่มภาระ
ในการดูแลรักษาให้กับสังคมไทยในอนาคต
ศาสตราจารย์ ดร.ปราโมทย์ ประสาทกุล และ รองศาสตราจารย์ ดร.ปัทมา ว่าพัฒนวงศ์
สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
“จ�านวนการตายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เพราะเรามีโรคภัยไข้เจ็บมากขึ้น
หากเป็นเพราะประชากรไทยมีอายุสูงขึ้น ประมาณว่าร้อยละ 60
ของคนที่ตายทั้งหมดในแต่ละปีเป็นผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป”
55-03-004 Th_001-120_new17_Y.indd 14 17/3/2012 13:580
แนวโนมการเปลี่ยนแปลงอัตราเกิด อัตราตายของประเทศไทย พ.ศ. 2500-2593
จำนวนการตายของประเทศไทย พ.ศ. 2511-2553
ประมาณจำนวนผูสูงอายุ จำแนกตามภาวะพึ่งพิงในกิจวัตรประจำวันและตามเพศ พ.ศ. 2553-2583
รอยละจำนวนปที่สูญเสียไปจากการตายกอนวัยอันควร (Year of Life Lost: YLL)
การ เรียนพิเศษ
การ “เรียนหนัก” และ “กวดวิชา” ช่วยพัฒนาประชากรจริงหรือ?
JANUARY 18, 2012 education pupil student teacher
นักเรียนไทยรุ่นใหม่แทบทุกค นเคยเรียนพิเศษเพื่อให้สอบไ ด้คะแนนดี สอบเข้าคณะที่ต้องการได้ ฯลฯ แต่หากศักยภาพในการพัฒนาประ เทศขึ้นอยู่กับคุณภาพประชาก ร หากคุณภาพประชากรขึ้นอยู่กั บคุณภาพการศึกษา และหากคุณภาพการศึกษาขึ้นอย ู่กับความสามารถของนักเรียน ในการเข้าใจสาระที่เรียนอย่ างถ่องแท้ เราอาจจะต้องตั้งคำถามว่ากา รเรียนหนักและการกวดวิชาสาม ารถช่วยพัฒนาคุณภาพประชากรไ ด้จริงหรือ?
ดังที่เคยนำเสนอไปแล้ว[1] ว่าทางหนึ่งที่จะวัดความเข้ าใจในสาระวิชาของนักเรียนโด ยใช้มาตรฐานเดียวกันในระดับ นานาชาติ คือ การทดสอบ PISA[2] โดยผลการศึกษาของ PISA ฉบับล่าสุดที่ทำในปี 2009 นอกจากจะรายงานผลการทดสอบแล ้ว ยังมีผลการศึกษาที่น่าสนใจส องประการซึ่งเราแสดงไว้เป็น กราฟในภาพ คือ
1. กราฟซ้ายแสดงคะแนน PISA เป็นฟังก์ชันของจำนวนชั่วโม งที่นักเรียนแต่ละประเทศเรี ยนวิทยาศาสตร์ จะเห็นว่ากราฟนั้นค่อนข้างเ รียบและมีความสัมพันธ์ไปในท างลบเล็กน้อย นั่นคือการใช้เวลาเรียนมากข ึ้นไม่ได้ส่งผลให้เข้าใจวิท ยาศาสตร์มากขึ้น ซ้ำร้ายการใช้เวลาเรียนมากเ กินไปยังส่งผลในเชิงลบต่อคว ามเข้าใจเสียด้วย (หมายเหตุ: ดูกราฟต้นฉบับใน [2] หน้า 386)
ผลการศึกษานี้ขัดกับสามัญสำ นึกว่าหาก “เรียนมาก” ก็น่าจะทำคะแนนได้ดีกว่า ซึ่งไม่เป็นความจริง
2. กราฟขวาแสดงคะแนน PISA เป็นฟังก์ชันของเปอร์เซนต์ข องชั่วโมงเรียนวิทยาศาสตร์ท ี่เรียนในโรงเรียน (ส่วนที่เหลือคือการเรียนกว ดวิชา) ประเทศที่เปอร์เซนต์น้อยแปล ว่าเรียนในห้องเรียนน้อยและ เรียนพิเศษมาก เช่น เม็กซิโก ชิลี บราซิล ส่วนประเทศที่เปอร์เซนต์สูง แปลว่าใช้เวลาเรียนในห้องเร ียนมากและเรียนพิเศษเป็นสัด ส่วนน้อยกว่า เช่น ฟินแลนด์ นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น
กราฟนี้แสดงว่ายิ่งให้ความส ำคัญกับเวลาเรียนในห้องเรีย นมากก็จะยิ่งเข้าใจสาระที่เ รียนได้มาก และหากเรียนกวดวิชากันเป็นส ัดส่วนมากจะกลับมีความเข้าใ จน้อยลง ทั้งนี้ ควรเป็นที่สังเกตว่าข้อมูลน ี้ไม่ได้แสดงว่าความเข้าใจใ นสาระวิชานั้นถูกลดด้อยลงเพ ราะคุณภาพการเรียนในห้องหรื อการกวดวิชา เพียงแต่บอกว่าประเทศที่นัก เรียนใช้เวลาไปกับการเรียนก วดวิชาเป็นสัดส่วนน้อยกว่าจ ะมีความเข้าใจในสาระวิชามาก กว่า ซึ่งอาจจะเป็นไปได้เช่นกันว ่าว่าประเทศที่มีการเรียนพิ เศษน้อยและมีระดับความเข้าใ จในสาระวิชาสูงเป็นผลของการ ศึกษาภาคบังคับที่มีประสิทธ ิภาพมาก (หมายเหตุ: ดูกราฟต้นฉบับใน [2] หน้า 386 และอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม เรื่องผลของการกวดวิชาได้ใน Box D1.2. “Does investing in after-school classes pay off?”; ทีมงานไม่มีข้อมูลเปอร์เซนต ์ของเวลาเรียนวิทยาศาสตร์ใน ห้องเรียนสำหรับประเทศไทย จึงแสดงระยะประมาณที่ 45-60 เปอร์เซนต์ไว้ในกราฟ)
ผลวิจัยนี้ชี้ว่าแม้การเรีย นพิเศษหรือกวดวิชาอาจจะทำให ้สอบเก่งขึ้น เข้าคณะที่ต้องการได้ ฯลฯ แต่กลับไม่ได้ทำให้เกิดความ เข้าใจในสาระวิชาอย่างแท้จร ิง ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นในการ พัฒนาประเทศ
เราอาจกล่าวได้เช่นกันว่าคุ ณภาพการเรียนในห้องเรียนของ แต่ละประเทศ ย่อมส่งผลต่อสัดส่วนการเรีย นในห้อง/ เรียนพิเศษ แต่ถึงแม้ประเทศที่ (เชื่อกันว่า) การเรียนในห้องมีคุณภาพสูง ผลการศึกษาในข้อ 1 ก็แสดงให้เห็นอยู่ดีว่ายิ่งเรียนมาก ยิ่งทำคะแนนสอบได้น้อย แอดมินย้ำว่าผลการศึกษาทั้ง สองไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นกั บประเทศไทยเพียงแห่งเดียว แต่เป็นธรรมชาติของระบบการศ ึกษาทั่วโลก ซึ่งประเทศไทยก็เป็นหนึ่งใน นั้น ไม่ได้พิเศษแตกต่างแต่อย่าง ไร
แน่นอนว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อ คุณภาพประชากรเป็นปัญหาที่ส ำคัญและต้องการการแก้ไขจากท ุกฝ่าย เราคงไม่สามารถกล่าวได้ว่าน ี่คือความผิดของ ครู นักเรียน เจ้าของโรงเรียนกวดวิชา ติวเตอร์ รัฐบาล ระบบการศึกษา หรือใครคนใดคนหนึ่ง
หากเราทุกคนช่วยกัน “ตั้งคำถาม” ว่ามีอะไรผิดบ้าง ช่วยกัน “ตอบคำถาม” ว่าเราจะต้องเปลี่ยนแปลงอะไ รบ้าง และช่วยกัน “สอดส่อง” ว่ามีอะไรบ้างที่ตัวเราสามา รถทำได้อันจะนำไปสู่การแก้ป ัญหาในภาพรวม นี่อาจเป็นก้าวสำคัญที่จะช่ วยลดการสูญเสียศักยภาพของปร ะชากรไทยไปโดยใช่เหตุได้
อ้างอิงข้อมูล:
[1] รายละเอียดในโพสของ ‘ประเทศไทยอยู่ตรงไหน’ วันจันทร์ที่ 16 ม.ค. 2555 http://www.whereisthailand.info/2012/01/pisa-score-2009/[2] http://www.oecd.org/dataoecd/61/29/48631122.pdf
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)